ทดสอบใจโยมแก่
เนื่องในวาระครบ ๕ รอบ สิริอายุครบ ๖๐ ปี ของท่านครูบากฤษณะ อินทวัณโณ ในวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ ๒๕๕๗
ผมขอนำเกล็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้ยินมาเกี่ยวประวัติบา งช่วงบางตอนของท่านมาเผยแพร ่เพื่อเป็นอนุสรณ์ โดยเฉพาะเรื่องราวที่พิศดาร ที่เกิดขึ้นกับท่านครูบา ฯ เมื่อคราวที่ท่านเดินธุดงค์ อยู่ตามป่าเขา ถ้ำลึก หน้าผาสูงชัน
จึงมีเรื่องมากมายที่ท่านคร ูบา ฯ ได้ประสพพบเจอกับตัวท่านเอง ดังเช่น.:- เรื่องที่ผมได้เล่าไปบ้างแล ้ว เป็นต้น
วันนี้ผมจะเล่าเรื่องราวที่ พิสดาร มหัศจรรย์พันลึก ลี้ลับ เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ เป็นยิ่งนัก
เรื่องที่ผมจะเล่าในวันนี้ค ือเรื่อง... “ ทดสอบใจโยมแก่ ” เรื่องราวจะเป็นเช่นไร พิศดาร มากน้อยแค่ไหน โปรดติดตาม
เรื่อง... “ ทดสอบใจโยมแก่ ” จะไม่ค่อยเหมือนกับเรื่องรา วที่
ได้เล่ามาก่อนหน้านี้ เพราะเรื่องนี้จะไม่พิสดาร มหัศจรรย์พันลึก ลี้ลับ
แต่ก็แฝงความน่าอัศจรรย์ อยู่บ้างในตอนจบของเรื่อง แต่จะเป็นเช่นไร
เชิญอ่านดูได้ ณ.บัดนี้
“ โยมแก่ ” คือชื่อที่ท่านครูบาเรียกบิ ดา
ของผม คือ คุณพ่อล้น เลิศล้ำ ท่านจะเรียกบิดา และ มารดาของผมว่า “
โยมแก่ ” เหมือนกัน ท่านนับถือ คุณพ่อล้น คุณแม่ลอย เลิศล้ำ
เสมือนเป็นบิดาและมารดาของท ่านเลยทีเดียว
“ โยมแก่ ” ทั้งสองเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ได้มีความศรัทธาในพระจารย์ป ระ
สิทธิ์ ( ลาสักขาบทแล้ว ) เจ้าสำนักสงฆ์ป่ามหาวัน ( เพราะมีต้นมะม่วงมาก
ปัจจุบันคือวัดทุ่งสามัคคี ) อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี
ท่านทั้งสองได้ถวายที่ดินแป ลงหนึ่ง และชักชวนบุตรหลานร่วมกันถว ายทุนทรัพย์อีกจำนวนหนึ่งเพ ื่อร่วมก่อสร้างสำนักสงฆ์แห ่งนี้
“ โยมแก่ ” ทั้งสองได้พบกับท่านครูบา ฯ ที่แวะเวียนมาเยี่ยม มาหาท่านพระอาจารย์ประสิทธิ ์ ในฐานะพระสหธรรมมิกที่สนิทส นมกันมากอีกรูปหนึ่ง อยู่เนือง ๆ
อีกทั้งได้รับนิมนต์ให้มาเป ็นพระอาจารย์กรรม ( พี่เลี้ยง ) ในงานเข้าปริวาสกรรม ที่สำนักสงฆ์แห่งนี้เป็นประ จำทุกปี
“ โยมแก่ ” ทั้งสองจึงเกิดความเลื่อมใส ศรัทธาท่านครูบา ฯ จากการได้ฟังธรรมจากท่านครู บา ฯ และชื่นชอบในอัธยาศัยของท่า นครูบา ฯ ที่สมถะ เรียบง่าย ไม่สุงสิงวุ่นวายกับใคร ดูเคร่งขึม จนดูน่าเกรงขาม ชอบอยู่ตามป่าเป็นนิจ
ท่านครูบา ฯ ก็พอใจ ถูกใจ ที่ได้พบได้เห็นและได้สนทนา กับ “ โยมแก่ ” ทั้งสองบ่อย ๆ กระทั้งท่านครูบา ฯ ได้ให้ความนับถือ “ โยมแก่ ” ทั้งสอง เสมือนบิดาและมารดาท่านอีกค นหนึ่ง
พ่อล้น...เล่าให้ผมฟังว่า.. .ในการจัดงานเข้าปริวาสกรรม ปีหนึ่ง ซึ่งคราวนั้นท่านอาจารย์ประ สิทธิ์ ได้จัดให้มีการบวชชีพราหมณ์ พร้อมกันไปด้วย พ่อล้น และ แม่ลอย ก็ได้พร้อมใจกันขอเข้าบวชชี พราหมณ์ในคราวนั้นด้วย และท่านครูบา ฯ ได้มาเป็นพระอาจารย์กรรม เหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา
หลังจากงานเข้าปริวาสและบวช ชีพราหมณ์จบลง ท่านครูบา ฯ และ พ่อล้น ได้พูดคุยและชักชวนกันเดินธ ุดงค์เพื่อปฏิบัติธรรมต่อใน ป่ากลางเขาใหญ่ ตกลังกันว่าจะไปกันสักสามวั น
ทั้งท่านครูบา ฯ และพ่อล้น ได้ออกเดินทางจาก สำนักสงฆ์ป่ามหาวัน อ.นาดี มุ่งหน้าสู่เขาใหญ่ โดยเส้นทางขึ้นเขาใหญ่ฝั่ง จ.ปราจีนบุรี
ท่านครูบา ฯ ได้พาพ่อล้นไปปักกลดที่ภูเข าลูกหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับฐานเรดาร์ขอ งทหารอากาศ แต่ข้ามไปอีกเขาลูกหนึ่ง ซึ่งยังมีสัตว์ป่านานาชนิดช ุกชุม
เมื่อถึงสถานที่ ๆ ดูเหมาะแก่การเจริญภาวณา ปฏิบัติธรรมตามความตั้งใจ ท่านครูบา ฯ ได้ให้พ่อล้น ปักกลดให้เรียบร้อย และบอกกับ พ่อล้นว่า...” โยมแก่ เจริญภาวณาอยู่ตรงนี้นะ ส่วนฉันจะไปอยู่ที่ภูเขาอีก ลูกหนึ่งที่เห็นไกล ๆ โน่น มันสูงและป่ารกมาก โยมแก่เดินขึ้นไม่ไหวหรอก ”
พูดจบท่านครูบา ฯ ก็สะพายย่ามแบกกลดขึ้นบ่า เดินหายเข้าไปในป่า มุ่งหน้าสู่เขาอีกลูกหนึ่งซ ึ่งมองเห็นแต่ยอดที่ปกคลุมด ้วยเมฆหมอกอยู่ใกล ๆ
คืนแรก... พ่อล้ยเจริญภาวณาอยู่คนเดีย วท่ามกลางความมืด ได้ยินแต่เสียงสัตว์ป่า เช่น ช้าง เสือ หมี ฯลฯ นั้งภาวณาโดยลำพังเพียงคนเด ียวอยู่อย่างนั้นด้วยความหว าดกลัวตลอดคืน
คืนที่สอง...เห็นท่าไม่ดีดู ท่าจะไม่ปลอดภัย พ่อล้นได้ขึ้นไปเจริญภาวณาโ ดยลำพังเพียงคนเดียวบนคบไม้ สูง ที่อยู่ใกล้ ๆ กับที่ปักกลด ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้สร ้างไว้ ซึ่งดูจะปลอดภัยกว่าข้างล่า ง
คืนที่สาม...ก็ยังเหมือนกับ คืนที่สองที่ผ่านมา
สามคืนผ่านไป ท่านครูบา ฯ หายไปโดยไม่ทราบข่าวคราว
ล่วงเข้าวันที่สี่ พ่อล้น คิดว่าท่านครูบา ฯ คงไม่กลับมาอีกแล้วแน่ แกล้งเอามาปล่อยทิ้งไว้กลาง ป่า แล้วจากไปโดยไม่บอกไม่กล่าว
จึงตัดสินใจเก็บสัมภาระใส่ย ่ามใบใหญ่ แบกกลดเดินลงจากเขาลูกนั้น กลับมาที่ฐานเรดาร์ ขอร้องให้เจ้าหน้าที่ช่วยนำ รถไปส่งขึ้นรถโดยสารที่ทางข ึ้นเขาใหญ่ฝั่งปราจีนบุรี
พ่อล้นกลับมาถึงบ้านภายในวั นนั้น ประมาณ ๕ หรือ ๖ โมงเย็น โดยสวัสดิภาพทางร่างกาย
แต่จิตใจนั้นยังขุ่นเคืองท่ านครู
บา ฯ อยู่ไม่หาย รู้สึกผิดหวัง รู้สึกเศร้าใจ รู้สึกขุ่นมัวในหัวใจ
เพราะคิดว่าถูกท่านครูบา ฯ หลอกพาไปทิ้งไว้กลางป่าเขาใ หญ่นั้นเอง
ถ้าเรื่องจบลงเพียงแค่นี้ พ่อล้นก็คงไม่ได้เลื่อมใส ไม่เคารพศรัทธาท่านครูบา ฯ จวบจนกระทั้งถึงแก่กรรม
ถ้าเรื่องจบลงเพียงแค่นี้ “ ตัวผมเองผู้เล่าเรื่องนี้ ” ก็คงไม่ได้เลื่อมใส ไม่ได้เคารพศรัทธาท่านครูบา ฯ จวบจนกระทั้งปัจจุบันเช่นกั นอย่างแน่นอน
แต่ปรากฏว่า...เวลาประมาณหน ึ่งทุ่มของวันเดียวกันนั้น ท่ามกลางความมืด ลูกหลานที่อยู่ภายในบ้านที่ กำลังพูดคุยสอบถามเรื่องราว ความเป็นไปอย่างสนอกสนใจ
“ โยมแก่ โยมแก่ ” เสียงเรียกที่หน้าบ้าน
ทุกคนภายในบ้านเงียบ
“ โยมแก่ โยมแก่ ” เสียงเรียกดังขึ้นมาอีก
พ่อล้น แม่ลอย จำได้แม่นยำว่า เป็นเสียงของท่านพระอาจารย์ สุรเดช แน่นอน
รีบคว้าไฟฉาย เปิดประตูบ้าน และทักไปด้วยน้ำเสียงที่ตื่ นเต้นปนขุนเคือง ( เป็นภาษาลาวปราจีน ) ว่า...” อ้าว ท่านอาจารย์สุรเดช ท่านมายังไงนี่ ”
( พ่อและแม่ผม รวมทั้งครอบครัว และ น้อง ๆ ผมจะเรียกท่านครูบา ฯ ว่า “ อาจารย์สุรเดช ” )
ในบรรยากาศแห่งความมืดนั้น เหมือนมีความสว่างเกิดขึ้นม าทันใด
พ่อล้น ได้นิมนต์ให้ท่านครูบา ฯ เข้าไปนั่งในบ้าน และสอบถามท่านครูบา ฯว่า... “ ท่านหายไปไหนมา และมาถึงที่นี่ได้อย่างไร”
ท่านครูบาไม่ตอบ แต่ได้พูดกับพ่อล้น ว่า...
“ กลับมาถึงบ้านด้วยความปลอดภ ัยก็ดีแล้วโยมแก่ ”
“ ฉันกลับไปดูที่ ๆ ให้โยมแก่ปักกลดอยู่ เมื่อก่อนจะเที่ยง หลังฉัน อาหารแล้ว แต่ไม่เห็นโยมแก่ ”
“ ไม่รู้จะไปถามใคร โดนเสือคาบไปกินเสียแล้วก็ไ ม่รู้ “
“ ฉันจึงรีบเดินข้ามเขา ข้ามป่า ข้ามแม่น้ำลำธาร มาดูด้วยความเป็นห่วงนี่แหล ะ .”
“ เห็นโยมแก่ปลอดภัย ฉันก็ดีใจ โยมแก่กลับมาถึงบ้านด้วยควา มปลอดภัยก็ดีแล้ว ”
ทุกคนในบ้านได้ยินต่างพากัน นั่งงง
พ่อล้นนั้งรถมา ออกเดินทางตั้งแต่เช้า กว่าจะมาถึงบ้านก็ เกือบหกโมงเย็น
แต่ท่านอาจารย์สุรเดช เดินจากภูเขาที่อยู่ห่างไกล ข้ามเขา ข้ามป่า ข้ามแม่น้ำลำธาร มาไม่รู้กี่ลูกต่อกี่ลูก กี่แห่งต่อกี่แห่ง ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน
มหัศจรรย์แท้ ๆ
อะไรจะมหัศจรรย์ ปานนั้น
ที่ผมนำเรื่อง “ ทดสอบใจโยมแก่ ” มาเล่าในวันนี้ก็ดี หรือเรื่องอื่น ๆ ที่เล่ามาก่อนนี้ก็ดี และยังมีเรื่องที่จะเล่าอีก มากมายหลายเรื่อง
ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะแสดงให ้เห็นว่า ท่านครูบา ฯ คือผู้วิเศษ ได้ธรรมอันวิเศษเหนือผู้อื่ น ที่สามารถแสดงอิทธิ์ฤทธิ์ปา ฏิหาริย์ต่าง ๆ นา ๆ ได้ แต่ประการใด
แต่...ผมต้องการสื่อออกไปให ้โลกรู้ว่า กว่าท่านจะมาเป็น “ ครูบากฤษณะ ” ในเวลานี้ กว่าท่านจะมาเป็นพระเกจิ ที่มีผู้คนเคารพศรัทธามากมา ยทั้งในและต่างประเทศ อย่างเช่นปัจจุบันนี้
ท่านได้ใช้ความวิริยะ อุตสาห์ เพียรพยายาม มากมายปานใด เพื่อแสวงหาธรรม เพื่อไปให้ถึงแดนแห่งโมกขธร รม ตามที่ท่านมุ่งหวังเอาไว้ตั ้งแต่แรกออกอุปสมบท
เราท่านทั้งหลายจึงได้เห็น ได้สัมผัส ได้รับความเมตตาจากท่าน อย่างที่เราท่านทั้งหลายได้ รับอยู่ในปัจจุบันกาลนี้แหล ะครับ สาธุ.
ผมขอนำเกล็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้ยินมาเกี่ยวประวัติบา
จึงมีเรื่องมากมายที่ท่านคร
วันนี้ผมจะเล่าเรื่องราวที่
เรื่องที่ผมจะเล่าในวันนี้ค
เรื่อง... “ ทดสอบใจโยมแก่ ” จะไม่ค่อยเหมือนกับเรื่องรา
“ โยมแก่ ” คือชื่อที่ท่านครูบาเรียกบิ
“ โยมแก่ ” ทั้งสองเมื่อยังมีชีวิตอยู่
“ โยมแก่ ” ทั้งสองได้พบกับท่านครูบา ฯ ที่แวะเวียนมาเยี่ยม มาหาท่านพระอาจารย์ประสิทธิ
อีกทั้งได้รับนิมนต์ให้มาเป
“ โยมแก่ ” ทั้งสองจึงเกิดความเลื่อมใส
ท่านครูบา ฯ ก็พอใจ ถูกใจ ที่ได้พบได้เห็นและได้สนทนา
พ่อล้น...เล่าให้ผมฟังว่า..
หลังจากงานเข้าปริวาสและบวช
ทั้งท่านครูบา ฯ และพ่อล้น ได้ออกเดินทางจาก สำนักสงฆ์ป่ามหาวัน อ.นาดี มุ่งหน้าสู่เขาใหญ่ โดยเส้นทางขึ้นเขาใหญ่ฝั่ง จ.ปราจีนบุรี
ท่านครูบา ฯ ได้พาพ่อล้นไปปักกลดที่ภูเข
เมื่อถึงสถานที่ ๆ ดูเหมาะแก่การเจริญภาวณา ปฏิบัติธรรมตามความตั้งใจ ท่านครูบา ฯ ได้ให้พ่อล้น ปักกลดให้เรียบร้อย และบอกกับ พ่อล้นว่า...” โยมแก่ เจริญภาวณาอยู่ตรงนี้นะ ส่วนฉันจะไปอยู่ที่ภูเขาอีก
พูดจบท่านครูบา ฯ ก็สะพายย่ามแบกกลดขึ้นบ่า เดินหายเข้าไปในป่า มุ่งหน้าสู่เขาอีกลูกหนึ่งซ
คืนแรก... พ่อล้ยเจริญภาวณาอยู่คนเดีย
คืนที่สอง...เห็นท่าไม่ดีดู
คืนที่สาม...ก็ยังเหมือนกับ
สามคืนผ่านไป ท่านครูบา ฯ หายไปโดยไม่ทราบข่าวคราว
ล่วงเข้าวันที่สี่ พ่อล้น คิดว่าท่านครูบา ฯ คงไม่กลับมาอีกแล้วแน่ แกล้งเอามาปล่อยทิ้งไว้กลาง
จึงตัดสินใจเก็บสัมภาระใส่ย
พ่อล้นกลับมาถึงบ้านภายในวั
แต่จิตใจนั้นยังขุ่นเคืองท่
ถ้าเรื่องจบลงเพียงแค่นี้ พ่อล้นก็คงไม่ได้เลื่อมใส ไม่เคารพศรัทธาท่านครูบา ฯ จวบจนกระทั้งถึงแก่กรรม
ถ้าเรื่องจบลงเพียงแค่นี้ “ ตัวผมเองผู้เล่าเรื่องนี้ ” ก็คงไม่ได้เลื่อมใส ไม่ได้เคารพศรัทธาท่านครูบา
แต่ปรากฏว่า...เวลาประมาณหน
“ โยมแก่ โยมแก่ ” เสียงเรียกที่หน้าบ้าน
ทุกคนภายในบ้านเงียบ
“ โยมแก่ โยมแก่ ” เสียงเรียกดังขึ้นมาอีก
พ่อล้น แม่ลอย จำได้แม่นยำว่า เป็นเสียงของท่านพระอาจารย์
รีบคว้าไฟฉาย เปิดประตูบ้าน และทักไปด้วยน้ำเสียงที่ตื่
( พ่อและแม่ผม รวมทั้งครอบครัว และ น้อง ๆ ผมจะเรียกท่านครูบา ฯ ว่า “ อาจารย์สุรเดช ” )
ในบรรยากาศแห่งความมืดนั้น เหมือนมีความสว่างเกิดขึ้นม
พ่อล้น ได้นิมนต์ให้ท่านครูบา ฯ เข้าไปนั่งในบ้าน และสอบถามท่านครูบา ฯว่า... “ ท่านหายไปไหนมา และมาถึงที่นี่ได้อย่างไร”
ท่านครูบาไม่ตอบ แต่ได้พูดกับพ่อล้น ว่า...
“ กลับมาถึงบ้านด้วยความปลอดภ
“ ฉันกลับไปดูที่ ๆ ให้โยมแก่ปักกลดอยู่ เมื่อก่อนจะเที่ยง หลังฉัน อาหารแล้ว แต่ไม่เห็นโยมแก่ ”
“ ไม่รู้จะไปถามใคร โดนเสือคาบไปกินเสียแล้วก็ไ
“ ฉันจึงรีบเดินข้ามเขา ข้ามป่า ข้ามแม่น้ำลำธาร มาดูด้วยความเป็นห่วงนี่แหล
“ เห็นโยมแก่ปลอดภัย ฉันก็ดีใจ โยมแก่กลับมาถึงบ้านด้วยควา
ทุกคนในบ้านได้ยินต่างพากัน
พ่อล้นนั้งรถมา ออกเดินทางตั้งแต่เช้า กว่าจะมาถึงบ้านก็ เกือบหกโมงเย็น
แต่ท่านอาจารย์สุรเดช เดินจากภูเขาที่อยู่ห่างไกล
มหัศจรรย์แท้ ๆ
อะไรจะมหัศจรรย์ ปานนั้น
ที่ผมนำเรื่อง “ ทดสอบใจโยมแก่ ” มาเล่าในวันนี้ก็ดี หรือเรื่องอื่น ๆ ที่เล่ามาก่อนนี้ก็ดี และยังมีเรื่องที่จะเล่าอีก
ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะแสดงให
แต่...ผมต้องการสื่อออกไปให
ท่านได้ใช้ความวิริยะ อุตสาห์ เพียรพยายาม มากมายปานใด เพื่อแสวงหาธรรม เพื่อไปให้ถึงแดนแห่งโมกขธร
เราท่านทั้งหลายจึงได้เห็น ได้สัมผัส ได้รับความเมตตาจากท่าน อย่างที่เราท่านทั้งหลายได้
๙๙๙๙๙๙๙๙๙
ชมรมศิษย์ครูบากฤษณะ อินทวัณโณ
ติดต่อ เฮียกิตติ
081 813 1935
Email : bantanthai@gmail.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น