วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เณรน้อยเทวดา

เณรน้อยเทวดา

เนื่องในวาระครบ ๕ รอบ สิริอายุครบ ๖๐ ปี ของท่านครูบากฤษณะ อินทวัณโณ ในวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ ๒๕๕๗

ผมขอนำเกล็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้ยินมาเกี่ยวประวัติบางช่วงบางตอนของท่านมาเผยแพร่เพื่อเป็นอนุสรณ์ โดยเฉพาะเรื่องราวที่พิศดารที่เกิดขึ้นกับท่านครูบา ฯ เมื่อคราวที่ท่านเดินธุดงค์อยู่ตามป่าเขา ถ้ำลึก หน้าผาสูงชัน

จึงมีเรื่องมากมายที่ท่านครูบา ฯ ได้ประสพพบเจอกับตัวท่านเอง ดังเช่น.:- เรื่องที่ผมได้เล่าไปบ้างแล้ว เป็นต้น

วันนี้ผมจะเล่าเรื่องราวที่พิสดาร มหัศจรรย์พันลึก ลี้ลับ เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ เป็นยิ่งนัก

เรื่องที่ผมจะเล่าในวันนี้คือเรื่อง... “ เณรน้อยเทวดา ”
เณรน้อยเทวดา เป็นข้อกังขาของท่านครูบา ฯ มาจนกระทั้งทุกวันนี้ว่า เป็นท่านหลวงปู่ใหญ่พระครูเทพโลกอุดร แปลงกายมาแสดงให้ท่านได้เห็นหรือไม่...???

ต้องติดตามเรื่อง " เณรน้อยเทวดา " ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมจะเล่าให้ท่านได้ฟังกันต่อไปนี้.

บอกก่อนก็ได้ว่า...เรื่องนี้เกิดในฤดูหนาว ( เป็นช่วงที่หนาวจัดมากด้วย ) บนยอดภูกระดึง ณ. บริเวณหน้าผาแห่งหนึ่ง.

ถ้าท่านพร้อมแล้วผมเริ่มเลยนะครับ

เช่นเคยครับ หลังจากที่ท่าน ครูบา ฯ อุปสมบทได้หลายพรรษาแล้ว การเดินธุดงค์ของท่านได้แยกกันกับพระสหธรรมมิก เหลือแต่ท่านครูบา ฯ องค์เดี่ยวที่ยังธุดงค์จาริกไปตามป่าเขา

คราวนี้ ท่านครูบา ฯ ได้เดินธุดงค์ไปที่ภูกระดึงจังหวัดเลย ซึ่งท่านทราบว่าตามหน้าผาสูงชันของภูกระดึง จะมีเพิงหินยื่นออกมา และที่เพิงหินนั้นมีแอ่ง มีโพรง ที่พอจะให้พักอาศัยได้ เพิงหินที่จะใช้เป็นที่พักที่ว่านี้ สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ข้างล่างได้กว้างไกลและดูสวยงามสะบายตา อากาศดี เหมาะสำหรับใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม เหมาะแก่การเจริญภาวณา เหมาะแก่การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เป็นอย่างยิ่ง

แต่ลำบากมากเพราะต้องปีนป่ายขึ้น ลงไปตามหน้าผาที่สูงชัน ต้องใช้ความวิริยะอุตสาห์ ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ความตั้งใจอันแรงกล้า จึงจะสามารถทำเช่นนั้นได้

ช่วงที่ท่านเดินธุดงค์ไปภูกระดึงในคราวนี้นั้น เป็นช่วงฤดูหนาว ในยามค่ำคืนอากาศจะหนาวเย็นมาก เรียกว่าหนาวจัดเลยทีเดียว

ท่านเลือกเอาหน้าผาที่ไม่มีนักท่องเที่ยวไปถึง กลางวันท่านจะเจริญภาวณาอยู่ตามเพิงหิน จนกว่าจะค่ำ เมื่อใกล้ค่ำท่านก็จะปีนหน้าผาขึ้นมาอยู่ข้างบนติดกับหน้าผา ซี่งเป็นลานกว้าง มองเห็นท้องฟ้าในยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ

ท่านปฏิบิติอยู่เช่นนี้มาหลายราตรีกาล

ท่ามกลางความหนาวเหน็บ ท่านต้องห่มจีวรหลาย ๆ ชั้น ซ้อน ๆ กัน แทนผ้าห่ม แต่ยังยังไม่วายหนาวเย็นเข้าไปถึงทรวงอยู่นั้นเอง

ณ.ราตรีกาลหนึ่ง ค่ำคืนอันน่าทึ่งก็มาถึง

เวลาผ่านพ้นเที่ยงคืนมาแล้ว ขณะที่ท่านครูบา ฯ กำลังนั่งเจริญภาวณาเข้าวิปัสสนากรรมฐานอยู่นั้น

แม้ท่านจะห่มด้วยจีวรที่หนาหลายชั้น ก็ไม่วายที่จะออกอาการหนาวจนสั่น มือไม้เย็นจนชา ลมหายใจออกกระทบกับแสงจันทร์ ดูเหมือนไอหมอกไม่ต้องเพ่งดูก็เห็นได้

ขณะนั้นเอง ท่านรู้สึกว่ามีมือน้อย ๆ มาทาบที่แผ่นหลังของท่านเบา ๆ พอที่ท่านจะรู้สึกตัวได้ ท่านรู้สึกตัวท่านว่าความหนาวที่มันหนาวเหน็บเข้ากระดูกอยู่เมื่อสักครู่ มันหายไปจนหมดสิ้น ท่านหายหนาว ท่านไม่รู้สึกหนาวอีกเลย ท่านรู้สึกอุ่นขึ้นมาแทนทันทีในช่วงเวลานั้น

ท่านได้ออกจากการเจริญภาวณา ออกจากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ท่านค่อย ๆ ลืมตาขึ้น และค่อย ๆ หันกลับไปมองข้างหลังของท่านที่ถูกผ่ามือน้อย ๆ มากระทบ

ภาพที่ท่านเห็นคือ สามเณรตัวน้อย ๆ หน้าตาดีดูสะอาดสะอ้าน ท่านเดาว่าอายุไม่น่าจะเกิน ๑๒ ขวบ สวมผ้าอังสะ นุ่งผ้าสบง มีจีวรพาดบ่าอีกหนึ่งผืน ไม่แสดงอาการหนาวเย็นให้ท่านครูบา ฯ เห็นเลยแม้แต่น้อย

สามเณรน้อยยิ้มให้ท่าน ท่านก็ยิ้มรับเหมือนดั่งคุ้นเคยกันมาก่อนหลายสิบปี

ท่านครูบา ฯ เล่าว่า...ท่านไม่ได้คุย ไม่ได้ถามอะไรกับสามเณรน้อยนั้นเลยสักคำ ทั้งท่านและสามเณรน้อยได้นั่งเจริญภาวณา เจริญวิปัสสนากรรมฐาน อยู่ด้วยกันจนเกือบจะรุ่งสา

เวลาจวนใกล้จะสว่าง สามเณรน้อย ได้เรียกท่านครูบา ฯ ให้ออกจากการเจริญภาวณา เจริญวิปัสสนากรรมฐาน เพราะใกล้จะสว่างแล้ว

สามเณรน้อย ได้บอกให้ท่านครูบา ฯ นั่งรออยู่ตรงนั้น อย่าเพิ่งลงไปที่พักก่อนที่สามเณรน้อยจะกลับมา

สามเณรน้อยกำชับท่านครูบา ฯ ให้รออยู่ตรงนั้น ซ้ำอีกครั้ง แล้วก็เดินจากไป

ท่านครูบา ฯ ได้นั่งรอตามที่สามเณรน้อยบอก อยู่ตรงบริเวณหน้าผานั้นจนกระทั้งตะวันโพล่พ้นขอบฟ้า แสงเงินแสงทองผ่องอำไพตระการตา

เกือบสายของวันใหม่ ท่านครูบา ฯ มองเห็นสามเณรน้อยเดินมาทางลานกว้าง เดินหิ้วของพะรุงพะรังมาแต่ไกล

เมื่อสามเณรน้อยเดินมาใกล้ ๆ ท่านจึงได้เห็นว่าสามเณรน้อยกำลังเดินอุ้มบาตรที่เต็มไปด้วยข้าวสุก และหิ้วห่อกับข้าวมาด้วยจนดูพะรุงพะรัง

สามเณรน้อยเดินมาถึงที่ท่านครูบา ฯนั่งรออยู่ แล้วนั่งลง พร้อมกับตักแบ่งข้าวจากบาตร และคัดแยกกับข้าวส่วนหนึ่งถวายท่านครูบา ฯ

ท่านครูบา ฯ ก็รับไว้ด้วยความมึนงง ตกอยู่ในอาการเหมือนคนนอนฝั

สามเณรน้อยได้พูดกับท่านครูบา ฯ ว่า “ ผมลงไปบิณฑบาตรที่ตลาดข้างล่างโน้นมา “

พร้อมกับชี้มือไปทางเมืองชัยภูมิ

“ ได้อาหารที่ญาติโยมในตลาดชัยภูมิ ใส่บาตรมาเยอะแยะ อย่างที่ท่านพระอาจารย์เห็นนี้แหละ “

สามเณรน้อยเรียกท่านครูบา ฯ ว่าพระอาจารย์ เหมือนคุ้นเคยกันมาหลายร้อยปี

“ ผมขอลาพระอาจารย์ไปเพียงแค่นี้แหละนะ เอาไว้ปี.......ผมกับพระอาจารย์ค่อยกลับมาพบกันใหม่อีกครั้งหนึ่งนะ “

ก่อนจากกันสามเณรน้อยพูดเป็นประโยคสุดท้ายว่า “ ผมพักอยู่หน้าผาฝั่งโน้น ”

พร้อมกับชี้มือไปทางหน้าผาที่สามเณรน้อยบอก

พูดจบสามเณรน้อยก็เดินตรงไปทางหน้าผานั้น และเดินลงหน้าผมจากไป และเดินหายไปตรงหน้าผาที่สามเณรน้อยบอกนั้นเอง.

เรื่อง “ เณรน้อยเทวดา “ นี้ท่านครูบา ฯ ท่านเล่าให้ผมฟังมาหลายครั้ง แต่เล่าให้ผมฟังมานานนับสิบปีมาแล้ว บางครั้งก็เล่าอย่างละเอียด บางครั้งก็เล่าอย่างรวบรัดย่นย่อ บางครั้งผมเองนอนฟังจนหลับไปก็มี

ขอให้กุศลผลบุญที่เกิดจากการนำเรื่องเก่า ๆ ที่เกี่ยวกับท่านครูบา ฯ มาเล่าอีกครั้งหนึ่งในคราวนี้ จงส่งผลให้ทุกท่านจงประสพแต่ความสุข ความเจริญ และโชคดี โชคดี ทุกท่าน สาธุ.

 

๙๙๙๙๙๙๙๙๙
ชมรมศิษย์ครูบากฤษณะ อินทวัณโณ
ติดต่อ เฮียกิตติ
081 813 1935
Email : bantanthai@gmail.com

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น